Thursday, April 9

“ผจญภัย” ในอิตาลี



เล่าเรื่อง การ "ผจญภัย" ในอิตาลี

สัปดาห์นี้ ผมมากำกับวงออร์เคสตร้าที่ประเทศอิตาลี

ลงจากเครื่องบินที่มิลาน ก็ได้เรื่องทันที

ก่อนจะเรื่องว่า "ได้เรื่อง" อย่างไร ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองมิลานก่อน

ผมเคยเล่าไปแล้วว่า* มิลานเป็นเมืองของอิตาลีที่ผมไม่ชอบเอามาก ๆ เพราะเป็นเมืองที่มีบรรยากาศทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าหมอง ด้วยเหตุผลหลายประการ และไม่ใช่ผมรู้สึกคนเดียว คนอิตาเลียนหลายคนก็พูดเหมือนผม เพื่อนชาวอิตาเลียนของผมหลายคน ใช้คำว่า "brutto" (ugly) ในการบรรยายถึงเมืองมิลาน อาจเป็นเพราะว่า มี smog อยู่เสมอ บรรยากาศครึ้ม ๆ มืด ๆ ทึม ๆ ตลอดเวลา ตึกรามบ้านช่องก็ไม่ค่อยมีสีสดใส มองไปทางไหน ผู้คนก็ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มในเหมือนที่ผมเคยเห็นในเมืองอื่น ๆ ของอิตาลี

สองสามปีก่อน ผมกับครอบครัวเคยอยู่มิลานเป็นเวลานานหลายเดือน เพราะมีงานที่อิตาลีบ่อย จึงใช้มิลานเป็นศูนย์กลางของการทำงานอยู่พักหนึ่ง

ต้องยอมรับว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เป็น "หลุมดำ" ของชีวิตผมกับครอบครัวในต่างประเทศเลยทีเดียว !

เมืองมิลานเป็นเมืองธุรกิจ เป็นเมืองใหญ่ที่มีคนเข้ามาทำงานจากต่างประเทศมากมายในทุกระดับชั้น มีคนระดับกรรมกรจำนวนมากมาจากอัฟริกาและเอเชีย โดยเฉพาะคนจีน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนอพยพเข้ามา ทำมาหาเลี้ยงชีพในระดับกรรมกร หรือขายของถูก หรือเปิดร้านอาหาร

เป็นเพราะว่าผมมีเพื่อนสนิทหลายคนเป็นคนอิตาเลียน จึงพอจะเข้าใจมุมมองของคนอิตาเลียนที่มีต่อชาวจีนที่มีทำมาหากินในประเทศของเขา

หลายคนบ่นว่า คนจีนมาทำให้ประเทศของเขาดูไม่สวยไม่งาม (ยกเว้นจากมิลานแล้ว เมืองอื่น ๆ ในอิตาลี ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กเมืองใหญ่ มีความสวยงามมาก เขาจะเอาใจใส่ แล้วให้ความสำคัญกับความสวยงามของตึกรามบ้านช่องมาก) เพราะเวลาคนจึนมาเปิดร้านขายของถูก ๆ ที่นำเข้ามาจากเมืองจีน ก็ไม่สนใจทำหน้าร้านให้สวยงาม ส่วนใหญ่ร้านค่อนข้างจะดูยุ่งเหยิง

คนอิตาเลียนประเภทที่ไม่ค่อยมีการศึกษา หรือ ไม่ค่อยได้เจอคนเอเชีย ก็จะแยกแยะไม่ออกว่า คนเอเชียมีหลายประเภท และหลายระดับ แต่กลายเป็นว่าบางคนมองคนเอเชียด้วยสายตาดูถูก และบางครั้งก็แสดงออกถึงทัศนคติอย่างนั้น

ตอนนี้มาเข้าเรื่องว่าผม "ได้เรื่อง" อย่างไร

ครั้งนี้ ผู้จัดการวงไม่ได้ส่งคนมารับ ผมออกจากสนามบินจึงขึ้นรถเวียน (shuttle bus) เพื่อจะไปต่อรถไฟที่สถานีรถไฟกลางของเมืองมิลาน

พอก้าวขึ้นรถบัส ก็ถูกดักโดยคนขับรถบัส แต่งตัวปอน ๆ สกปรกนิดหน่อย

แล้วก็พูดเป็นภาษาอิตาเลียน ไล่เหมือนหมูเหมือนหมาว่า "ลงไปก่อน ยังขึ้นมาไม่ได้ ไป ไป ไป"

คงเป็นเพราะเขาคิดว่า ผมเป็นคนจีนที่พูดภาษาเขาไม่ได้ อยู่ในประเทศเขา เป็นพลเมืองชั้นสอง

หน้าตาผมก็เหมือนคนจีนอยู่แล้ว ก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดอย่างนั้น

แต่ที่ "รับไม่ได้" ก็คือ การปฏิบัติต่อชาวต่างชาติ (เอเชีย) อย่างหยาบคาย

และเขาก็คงไม่ทราบด้วยว่า ผมพูดภาษาอิตาเลียนได้พอสมควร

แน่นอน ถึงตอนนั้นผมก็เริ่มฉุน

จึงจ้องหน้าคนขับรถคนนั้นแบบดุ ๆ แล้วพูดเสียงกร้าวตอบว่า "Gentile, per favore!"

แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Nicely, please!

หรือ ภาษาไทย "พูดดี ๆ ก็ได้ครับ (โว้ย) !"

คนขับรถคนนั้น เปลี่ยนกิริยามารยาททันที และกล่าวเสียงอ่อย ๆ ว่า

"Parla italiano!" หรือ "อ้าว พูดอิตาเลียนได้ด้วย !"

จากนั้นก็พูดจาดีขึ้นมาก


มีอีกครั้ง ไปทานอาหารที่ร้านอาหารหรู ๆ ในประเทศอิตาลี

เจ้าของร้าน เห็นผม ก็คงนึกอีกว่าเป็นคนจีนเข้ามาเร่ขายของในร้านเขา หรือ ประเภทไม่ค่อยมีสตางค์

เห็นผมเข้ามา เขาก็ทำท่าที "ข่ม"ทันที คุยกับเราเหมือนกับเราอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าของสังคม

ผมยอมไม่ได้ !

ระหว่างนั่งรออาหาร ผมเอาโน้ตของคอนดักเตอร์ที่เรียกว่า Score มากางเปิดเพื่อทบทวนบทเพลงที่ต้องคอนดักท์ในคืนนั้น

เจ้าของร้านเห็นก็สนใจ เข้ามาถามว่าผมเป็นภาษาอิตาเลียนว่า เล่นดนตรีอะไร

ผมบอกว่าเป็น Direttore d'orchestra หรือ คอนดักเตอร์

เขาตกใจ ไม่นึกว่า คนเอเชียคนนี้กำลังจะควบคุมวงออร์เคสตร้าประจำเมืองของเขา

น้ำเสียง และ กิริยามารยาทเปลี่ยนไปทันที

และเริ่มคุยกันแบบให้เกียรติมากขึ้น

(ในยุโรป คอนดักเตอร์ได้รับการให้เกียรติจากสังคมพอสมควร ถือเป็นอาชีพที่ทุกคนรู้จักหมดว่าทำอะไร และมีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างไร ในบางประเทศ เช่นเยอรมนีตะวันออกในสมัยก่อนรวมตัว คอนดักเตอร์เคิร์ท มาซัวร์ (Kurt Mazur) กล่าวกันว่า มีความสำคัญเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากประธานาธิบดีของประเทศนั้น)


*เล่าในหนังสือ "๓๐ วิธีเอาชนะโชคชะตา"

1 comment:

Little Girl@Big Dream said...

Show the world that Thai people is as smart as they can and we also have a good moral as well.

You are so patience and passionate about what you do.
I really respect and admire you.

Someday, I will be like you too. ^^
thank you for being a good example to us.